เปิดไฟหรี่ หรือ ไฟหน้ารถ กันเถอะ เมื่อเริ่มมืด ฟ้าครึ้ม รุ่งสาง
การขับรถบนท้องถนน ได้พบเจอกับหลากหลายปัญหาที่เกี่ยวเนื่องจากผู้ใช้รถใช้ถนนด้วยกันเอง คิดผิดๆในเรื่องการใช้รถใช้ถนน อย่างเรื่องการเปิดไฟหรี่ หรือไฟหน้ารถ
อากาศอย่างงี้ เปิดไฟหรี่ ไฟหน้า กันเถอะครับ
รถรุ่นใหม่ๆ อาจจะผลิตมาให้อำนวยความสะดวกให้กับผู้ขับผู้ใช้รถคันนั้นๆ จนทำให้ ผู้ใช้รถลืมคำนึงถึง เพื่อนร่วมถนนว่าเขาจะได้รับผลอย่างไรจากการได้รับความสะดวกสบายของตัวเองในรถคันใหม่
หรือ ความเข้าใจผิดของผู้ใช้รถอีกมากที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ในการใช้งานรถยนต์ จนเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ จากความเข้าใจผิด และเห็นแก่ตัวก็ว่าได้
เรื่องหนึ่งที่ถูกละเลย ไม่ใส่ใจกันค่อนข้างมาก คือ การเปิดไฟหรี่ ของรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นตอนพลบค่ำ ฟ้าสางใหม่ๆ มีฝนฟ้าคะนองมืดครึ้ม ที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้ก็เพราะว่า หลายๆคนหลายๆคัน มักไม่ยอมเปิดไฟหรี่ กันเสียเลย อาจจะเพราะคิดว่า เรามองเห็นทางแล้วไม่ต้องเปิดหรอก ลืมเปิดไฟหรี่ไฟหน้า เพราะไฟหน้าปัดในรถยนต์สว่างเองแล้วหรือเรืองแสงเอง ทำให้ตัวเรามองเห็นแล้ว หรือแม้แต่ไม่เปิดเพราะกลัวแบตหมดไฟ
หลายคนจะรู้ไหมว่า ถ้าเราไม่เปิดไฟหรี่ เมื่อถึงเวลาที่ควรเปิด ผลจะเป็นอย่างไร
เคยสังเกตุ ไหมว่าถ้าอากาศครึ้มๆ ฟ้าขมุกขมัว หรือตอนฟ้าสาง เรามองเห็นรถคันอื่นๆได้ชัดเจนขนาดใหน
เคยไหม ขับรถกลางคืนมาทั้งคืนจนรุ่งสาง สายตาเราเป็นอย่างไรกับสิ่งรอบข้าง
เปรียบเทียบดูน่ะว่า เปิดกับไม่เปิด
สาเหตุที่มาบอกว่า ควรเปิดไฟหรี่ หรือ ไฟหน้า เมื่อถึงเวลาควรจะเปิด ก็เพราะว่า บนถนนมีคนหลากหลาย สายตาของบางคนก็ไม่ได้ดีเท่าๆกับอีกบางคน หากอากาศมืดๆ มัวๆ เขาจะมองไม่เห็นรถคันที่กำลังสวนมา อยู่ข้างหน้า หรือ กำลังออกจากซอย กำลังกลับรถ หากปราศจากไฟหรี่ แดงๆเรื่อๆ ที่มันแยงสายตา มากกว่าบั้นท้ายรถอันงดงามแต่ไม่ได้เปิดไฟหรี่ น่ะครับ ดังนั้นหากคิดถึงความปลอดภัย ลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุลง ก็จงช่วยกันเปิดไฟหรี่ซ๋ะเถอะครับ
รถบางคัน คนขับก็ขับมาทั้งคืน ดังนั้นสายตาของเขาจะยังปรับตัวไม่ได้ ฉะนั้นตอนเช้าๆ ก็ควรจะเปิดไฟหรี่ไว้บ้าง ไม่เสียหลายหรอกครับ อย่ามัวแต่คิดว่า เฮ้ยสว่างแล้ว มองเห็นถนนแล้ว ไม่ต้องเปิดไฟหรอก หรือ อย่าไปกลัวคนอื่นจะว่าหากเราจะเปิดไฟหรี่ทิ้งไว้เมื่อขับอยู่บนถนน
อย่างนี้ คิดว่าควรทำแบบใหนครับ
ผมเคยขับรถ บนถนนที่มีสองเลน สวนกันไปมาทั้งเวลาพลบค่ำ และ เช้ามืด บางครั้งแซงขึ้นไปแล้วจึงจะมองเห็นรถสวนมาเพราะเขาไม่ได้เปิดไฟหรี่ แต่ถ้ามีไฟหรี่ เราก็มองเห็นแต่ไกลอยู่แล้ว
ลองนำไปปฏิบัติกันดูน่ะครับ อย่าคิดเพียงว่าเราเห็นแล้ว อย่าลืมว่าบนถนน มีอีกหลายคนเขาใช้ทางร่วมกับเรา เราเปิดไฟไว้ เพื่อให้คนอื่นเห็นเราง่ายๆ ดีกว่าไปคิดว่า เดี๋ยวไฟแบตจะหมดเร็ว อายเขาเปิดทำไมสว่างแล้ว อะไรทำนองนี้
ชีวิตเรา ทรัพย์สินของเรา เราหาทางป้องกัน ลดโอกาสการสูญเสีย ด้วยตัวเราเองด้วย จะดีมากที่สุด
บทความนี้ เขียนไว้ที่ Eco car Club dot net
อย่าลืมแวะไปเยี่ยมชม เรื่องน่ารู้อื่นได้อีก ที่ Honda brio Amaze Community
วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2555
วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555
แอร์รถยนต์ ตู้แอร์รั่ว นำมาแชร์ให้นักอ่านได้พิจารณากัน
บทความนี้ ผมเขียนไว้ที่เว็บ อีโคคาร์ คลับ ดอทเน็ท ด้วย แวะไปชมกันได้น่ะครับ
วันนี้ได้ไปทำ แอร์รถยนต์ ของตัวเอง หลังจากทนนั่งขับรถที่แอร์ไม่เย็นมาอาทิตย์กว่าๆ ดีว่าอากาศไม่ค่อยร้อนเท่าไรเลยพอทนได้ แต่ถึงอย่างไรอากาศเมืองไทย ไว้ใจไม่ได้ซ่ะด้วย เกิดฝนตกมาแล้วกำลังขับรถ คงลำบากมากแน่ๆ เพราะกระจกหน้ารถจะมีฝ้ามาเกาะ จนทำให้เรามองไม่เห็น รถที่ร่วมทางกัน จนเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา มันจะไม่คุ้มกัน
เกริ่นมาก็พอสมควรแล้ว เข้าเรื่องกันหน่อยดีกว่า ก่อนจะซ่อมวันนี้ ก็ได้ไปเติม น้ำยาแอร์ มาแล้วรอบหนึ่ง สักสามวันก่อน ตอนเข้าร้านแอร์ช่างก็แนะนำแล้วว่า รถเราไม่เคยทำอะไรเกี่ยวกับแอร์มาเลย ดังนั้นสาเหตุของการไม่เย็นนี้ น่าจะมาจาก 2 สาเหตุ คือ
1. น้ำยาหายไปเองจากการใช้งานมาระยะเวลานาน ถ้าสาเหตุจากอาการนี้ ก็เพียงเติมน้ำยาแอร์เข้าไปใหม่ ก็จะใช้งานได้เหมือนเดิมแล้ว
2. น้ำยาหายไป จากการรั่วของระบบแอร์ อันนี้ต้องเช็คต้องตรวจกันนานหน่อย ว่ารั่วจากตรงใหน ทำอะไรได้บ้างก็ว่ากันอีกที
พอดีว่าต้องใช้รถตลอด ไม่สะดวกให้ช่างตรวจหารอยรั่ว อีกอย่างก็นึกในใจว่า น้ำยาแอร์คงหมดไปเองจากการใช้งานมั้ง 555 แอบหวังน่ะ เลยตัดสินใจให้ช่างเติมน้ำยาแอร์อย่างเดียว ดูอาการด้วย รีบใช้รถด้วย
หลังจากเติม ก็เย็นดีแต่ไม่ฉ่ำเหมือนก่อนซ่ะแล้ว วันรุ่งขึ้นเปิดประตูรถเข้ามา อะโหกลิ่นอะไรเนี้ยะ ฉุนๆด้วย ดีว่าแง้มกระจกไว้หน่อยๆ กลิ่นก็เลยไม่ค่อยมากเท่าไร แต่วันนี้รถเริ่มไม่ค่อยเย็นอีกแล้ว แต่ยังพอมีเย็นบ้างแต่น้อยกว่าเมื่อวานที่เติมน้ำยามาใหม่ ก็ทนใช้อีก เพราะทำอะไรไม่ได้มาก
พอวันอาทิตย์ ก็เลยได้โอกาส เอารถเข้าไปทำแอร์ ก็อย่างที่คาดและใจเสียๆไว้ก่อนแล้วหลังจาก เติมน้ำยาแอร์ แล้วใช้ได้ไม่กี่วัน แอร์ก็ไม่เย็นอีก คือตู้แอร์รั่ว ช่างเขาจะมองก่อนเป็นอันดับแรกคือตู้แอร์รั่วไหม คงเพราะว่ามันต้องมีกลิ่น และ ได้เงินมากกว่า อิอิ
แต่จริงๆแล้วก็ถามช่างว่า จุดอื่นจะรั่วหรือเปล่า ช่างตอบว่า จุดอื่นที่จะรั่วหนะ มันสังเกตุง่ายเช่นถ้าท่อที่เดินระบบแอร์มันรั่วส่วนมากก็จะรั่วตรงจุดเชื่อมต่อกัน ระหว่างอุปกรณ์ และรถของผมเขาดูแล้วก็ไม่เห็นมีรอยรั่วน่ะ เพระถ้ารั่วตรงจุดใหน มันก็จะมีคราบน้ำมันอยู่ให้พอสังเกตุได้
การเช็คว่าตู้รั่วจริงไหม เขาจะใช้ลมเป่าเข้าไปทางปากท่อของตู้แอร์ และก็วางตู้แอร์ไว้ในกาละมังที่มีน้ำ ท่วมตู้แอร์มิดเลย จากการทดสอบตู้แอร์ของรถเรา มันรั่วจริง คือมีฟองน้ำผุดขึ้นมาปุ๋งๆๆ เลย จบการทดสอบ
ก็เปลี่ยนกันตามระเบียบครับ
ทีนี้มาดูความรู้ที่ได้จากการไปเปลี่ยนตู้แอร์ ของรถตัวเองมา นำมาฝากเพื่อนๆที่หลงเข้ามาอ่านเจอ
ข้อควรปฏิบัต และ ระวังในการใช้รถยนต์ เพื่อถนอมตู้แอร์
1. พยายามรักษาความสะอาดในรถ โดยเฉพาะ ถาดรองพื้นของแต่ละที่นั่งในรถ หมั่นเอาออกไปเคาะฝุ่นผงออกบ่อยๆ อย่าให้มีตกค้าง และควรใช้ถาดรองพื้่นรถแบบมีขอบ เพื่อที่เวลามีฝุ่นผง เกาะติดมากับรองเท้าของเราหรือของผู้โดยสาร ฝุ่นผงจะได้หลุดและกองอยู่ในบริเวณถาดรองพื้นที่เราวางไว้ และสะดวกในการถอดถาดรองออกไปเคาะฝุ่นด้วย แต่ถ้ามันไม่มีขอบสูงขึ้นมานิด ก็หมั่นเอาออกไปเคาะบ่อยๆ ทุกวันได้ยิ่งดี ไม่งั้นฝุ่นผงมันจะกระเด็นออกจากถาดวางไปหมดซ่ะก่อน
เพราะฝุ่นผงที่ว่า มันจะโดนดูดเข้าไปในตู้แอร์ ตอนที่แอร์ทำงานเพราะการทำงานของตู้แอร์คือดูดอากาศภายนอกตู้แอร์เข้าไปให้ผ่านช่องเล็กๆของตู้แอร์และกลายเป็นลมเย็นออกมาทางช่องแอร์ กลายเป็นอากาศอันเย็นฉ่ำ และฝุ่นผงที่ถูกดูดเข้าไปนี้ มันก็จะสะสมตัวเกาะติดอยู่ภายในช่องเล็กๆของตู้แอร์ และ เกาะกันเป็นกลุ่มก้อนจนบดบัง ช่องเล็กๆของตู้แอร์นั้นๆ ทำให้ลมผ่านตู้แอร์ได้ไม่ดี หรือได้น้อย ความเย็นที่จะได้ก็จะนอ้ยลงด้วย
2. อย่าใช้น้ำหอมในรถ ที่เป็นแบบเจล แบบก้อน เพราะเมื่อน้ำหอมแบบดังกล่าวระเหยออกมา แล้วโดนดูดเข้าไปในตู้แอร์ตามการทำงานปกติของตู้แอร์ น้ำหอมที่ระเหยไปนั้นพอเจอความเย็นของตู้แอร์ มันก็จะกลายเป็นก้อนหรือเจล เหมือนเดิม เกาะติดสะสมกันอยู่ตามครีบ ช่องเล็กๆของตู้แอร์จนตัน ในที่สุด
และที่สำคัญการที่น้ำหอมกลายเป็นเจอหรือเรียกง่ายๆว่าเมือกเกาะกันในตู้แอร์แล้ว มันเป็นตัวเร่งทำให้เกิดการกัดกร่อนของตู้แอร์ให้เร็วขึ้นด้วย ดังนั้นระยะเวลาของการใช้งานตู้แอร์ก็สั้นลงไปอีก
สองข้อนี้สำคัญที่สุด ในการใช้รถและใช้แอร์ในรถเพื่อป้องกันไม่ให้ ตู้แอร์ รั่วเร็วเกินไป ยังมีข้อปลีกย่อยอีกหลายข้อ เอาไว้วันหลังจะมา เพิ่มเติมให้อีกที
วันนี้ทิ้งท้ายไว้ด้วย รูปของสิ่งที่อยู่ในตู้แอร์ ซึ่งเป็นภาษาบ้านๆที่เราๆ เรียกกัน ตัวที่รั่วจริงๆคือ evaporator ที่ลักษณะมันก็มีครีบมีท่อ เหมือนหม้อน้ำรถยนต์นั่นแหละ เพราะมันทำหน้าที่คล้ายๆกันคือ แลกเปลี่ยนอุณหภูมิ ที่ผ่านตัวมัน นั่นเอง
รูปที่ให้ดูนั้น เป็นของใหม่ แต่ถ้า [b][u]evaporator[/u][/b] ที่ผ่านการใช้งานมาพอสมควรแล้วหละก็ มันจะมีฝุ่น เศษเส้นผม เมือกเหนียวๆ ที่เกิดจากการสะสมตัวของเจลน้ำหอมที่ใช้กันในรถยนต์ อย่างที่บอกไปแล้วว่า ถ้าเราใช้เครื่องหอมในรถ ประเภทที่เป็นก้อน เป็นเจล พอมันโดนดูดเข้ามาที่ตู้แอร์อันมี evaporator อยู่ด้วยนั้น มันจะกลายเป็นก้อน หรือ เจลเหมือนตอน ก่อนที่มันจะระเหยกลายเป็นกลิ่นให้เราดมในรถ นั่นเอง
ทีนี้ถ้าในรถเราปล่อยให้ มีเศษฝุ่น เศษอะไรต่อมิอะไรค้างคาในรถมากๆแล้ว มันก็จะทยอยดูดเข้าไปสะสมอยู่กับ evaporator นานวันเข้าช่องโพรง ที่เขาทำไว้เพื่อให้ลมที่เป่าเข้าไป แล้วผ่าน evaporator เพื่อเอาความเย็นจากตัว evaporator ผ่านออกมาทางช่องแอร์เพื่อทำความเย็นในห้องโดยสาร มันก็จะตันเรื่อยๆ จนในที่สุด ลมก็จะผ่านไม่ได้ พอลมผ่านไม่ได้ ก็จะไม่มีความเย็นส่งออกมาจากช่องแอร์ ให้เราที่นั่งในรถ จึงได้บอกไว้ว่า หมั่นทำความสะอาดถาดรองพื้นในรถ และควรใช้แบบใด ดีกว่า
มาดูรูป Evaporator ที่ถือว่าโชกโชน เหลือเกืน ชาวบ้านเรียกว่า แอร์ตัน
อีกรูป เพื่อความมั่นใจว่า ถ้าไม่ดูแลสิ่งแวดล้อมให้มันหละก็ เจอแบบนี้
ที่เห็นด้านบนนั้น คือเขาถอดออกมาจากตู้แอร์ แล้วน่ะ จริงๆมันจะสิงสถิตอยู่ คล้ายๆอย่างงี้ แล้วแต่รถว่ารุ่นใหน เค้าออกแบบมาไม่เหมือนกัน แต่หลักๆแล้วคือ ทำเป็นอุโมง เอาเจ้า Evaporator นี้กั้นอุโมงไว้ ปลายด้านหนึ่งของอุโมง มีพัดลมทำหน้าที่เป่าลม เพื่อให้ผ่านเจ้า Evaporator ไปออกอีกข้างของอุโมงค์ และต่อออกไปเป็นช่องแอร์หน้าคอนโซลรถนั่นแหละ
นี่รูปของตู้อุโมงที่ว่า มันจะแตกต่างกันแล้วแต่รถน่ะครับ
เอาหละ อันบนคือเขารื้อออกมาแล้ว
ทีนี้มาดูสภาพภายในรถที่ต้องรื้อเพื่อเอา เจ้าตู้แอร์ออกมา แล้วแต่รถอีกแหละครับ ว่าจะรื้อยังไง
เห็นรูปแล้วเป็นอย่างไรครับ ยิ่งรถรุ่นใหม่ๆ ยิ่งรื้อยาก
ดังนั้น ป้องกันดีกว่าแก้ไข อย่าให้ ตู้แอร์ต้องตันในเวลา อันรวดเร็ว แล้วเราจะเศร้าที่ช่างแอร์ เขาต้องรื้อรถเราขนาดนี้ น่ะเออ
รถบางรุ่นโชคดีหน่อย เค้าออกแบบมาดี ก็รื้อแค่นี้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)