วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

การใช้ถนน ร่วมกับ รถบรรทุก รถพ่วง รถเทรลเลอร์

ความปลอดภัย ระหว่าง รถเรา กับ รถสิบล้อ รถพ่วง รถเทรลเลอร์
วันนี้ Honda brio Amaze Community ขอเขียนบทความ เกี่ยวกับการขับรถบนท้องถนน ที่ต้องพบเจอกับ บรรดาสิงห์รถบรรทุก รถพ่วง รถสิบล้อ รถเทรลเเลอร์ ซึ่ง บางพื้นที่อย่างใน กทม เมืองใหญ่ๆ บางเมือง ที่ห้ามรถประเภทที่ว่ามา เข้าไป ก็คงจะไม่ค่อยได้พบพานกับพวกเขาสักเท่าไร แต่คงมีสักวัน ที่คุณๆ ที่ขับรถเก๋ง รถกระบะ รถสปอร์ต หรือรถมอเตอร์ไซค์ ต้องได้ใช้ถนนร่วมกับ รถบรรทุก อย่างแน่นอน และ ผมขอ นำเสนอ ในการใช้ถนนร่วมกับบรรดา รถบรรทุก( สิบล้อ รถพ่วง รถเทรลเลอร์ ขอรวมไว้ว่า รถบรรทุก หละกัน ) ให้ปลอดภัย เราๆ ที่ขับรถเล็ก หลายๆคน คงคิดว่า คนขับรถบันทุก นี่ช่างใจใหญ่ ใจโต เหมือนรถที่เขาขับ ที่มันคับถนน ไปหมด ผมเลย ขอเอาอีกแง่มุมหนึ่ง ที่บางคนอาจจะ ลืมคิดไป คาดไ่มถึง ใจแคบไปนิด แล้วทำให้เกิดปัญหา กับรถบรรทุกขึ้นมาได้ ในวันใดวันหนึ่ง เอาเป็นว่า ค่อยๆอ่านไป แล้วคงจะเข้าใจได้บ้างว่า ทำไมผมจึงบอกมาแบบนั้น และ ที่คุณๆจะพบเจอบนถนน ก็จะมีลักษณะ ดังนี้
รถบรรทุก กำลังเลี้ยวกลับรถ ก็ไม่ดูให้ดี - วงเลี้ยวกว้างงงงงงง มาก เพราะ รถบรรทุก เป็นรถขนาดใหญ่ และยาว เนื่องจากต้องทำมาเพื่อให้บรรทุก สิ่งของให้ได้มากๆ ดังนั้น เมื่อคุณเห็นเขา ให้สัญญาณว่าจะเลี้ยว ไม่ว่าซ้าย หรือ ขวา เพื่อความปลอดภัย ก็ควรอยู่ห่างๆเขาอย่างน้อยที่สุด ก็ควรหยุดรถของเรา ณ ตำแหน่งเทียบเท่ากับ บั้นท้ายรถของเขา ในกรณี วิ่งตามๆกันไป แล้วพบว่า รถบรรทุก วิ่งอยู่ช่องซ้ายสุด แต่เปิดไฟเลี้ยวขวา หรือ วิ่งอยู่ช่องขวาสุด แต่เปิดไฟเลี้ยวซ้าย นั่นหมายถึงเขากำลังจะเลี้ยว หรือ กลับรถ ถ้ารถของเราอยู่ห่างจากรถบรรทุกคันนั้น ไกล้ๆ ก็รีบแซงไปเสีย แต่ถ้า เราอยู่ห่างจากเขาไกลหน่อย ก็ควรชะลอรถ ให้เขาดีกว่า ปลอดภัยกว่าเยอะ ถ้าท่านเคยสังเกตุ เวลาวิ่งอยู่บน ถนนไฮเวย์ หรือ ทางหลวงเส้นหลักๆ บริเวณจุดกลับรถ จะมีการทำช่องทางเดินรถกว้างออกไปจากขอบทางปกติ ไปอีกพอสมควร ก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับ เหล่ารถบรรทุก และ เพื่อความปลอดภัย ของเราๆด้วย นั่นเอง เพราะถ้าไม่มีการทำช่องพิเศษแบบนั้นไว้ รถบรรทุกก็กลับรถลำบาก ต้องเบียดๆช่องทางด้านซ้ายไว้ เพื่อจะกลับรถ เพราะไม่อย่างนั้น ก็จะกลับไม่พ้น รถวิ่งตามหลังมาก็จะแซงขวา แล้วก็ไม่ดูตาม้าตาเรือ เสียบกลางลำรถ บรรทุกเข้าให้ หรือ กลับรถแล้วไม่พ้นต้องถอยหลัง ทีนี้หละ เรื่องยาวครับ ดังนั้น ควรใช้ความระมัดระวัง เมื่อจะถึงจุดกลับรถ เพราะโดยปกติ จะมีป้ายบอกไว้อยู่แล้ว ป้ายบอกจุดกลับรถ ไม่ได้มีไว้บอกให้รู้ว่า กลับรถตรงนี้ได้ แต่บอกให้เรา ระวังด้วยน่ะ จะถึงจุดกลับรถแล้ว ...
ขับรถจิตใคก็ควรจะอยู่บนถนน - เปลี่ยนช่องทาง ยากหน่อย เพราะรถเขาหนัก จะทำวูบวาบ เหมือนเราๆ ไม่ได้ ดังนั้น จะหวังให้เขา เปลี่ยนช่องทางไปชิดซ้าย ทันทีที่เราต้องการ ก็คงจะยาก อันนี้ ขึ้นอยู่กับ สถานการณ์ก่อนหน้าของเขา ว่าเขาผ่านอะไรมา เช่น เขามาจากซอยซ้ายมือเรา เลี้ยวขึ้นมาบนทางหลวง เขาก็ต้องชิดไปทางเดินรถด้านขวา เพื่อให้ท้ายรถของเขา ไม่ตกขอบทาง ดังนั้น ถ้าเห็นเขาขึ้นมาแล้ว ก็ยกคันเร่ง ชะลอหน่อย หรือถ้าเรา กำลังมาอย่างเร็ว เราก็ขับรถชิดไปช่องทางด้านซ้าย แล้ว เปิดไฟสูงบอกเขาหน่อยว่า กรูจะไปทางช่องซ้ายน่ะ เชิญท่านวิ่งช่องขวาไปก่อนเลยหละกัน กรูรีบ ไม่งั้นคุณก็ต้องรอให้เขาตั้งลำได้ แล้วก็ค่อยๆ ชับชิดซ้ายไป ผมขับรถ ไม่เคยรถให้รถบรรทุกหลบผม ผม จะไปเป็นปกติ อยากวิ่งทางขวา วิ่งไป ผมไปทางซ้ายได้ นอกจาก ทางซ้ายหลุมมันเยอะ ผมก็ตามตรูด รถบรรทุกไปแค่นั้น ก็เคยคิดน่ะว่า หลุมบ่อ ก็เพราะพวกมรึงวิ่งอ่ะแหละ แต่กลับมาคิดอีกที โทษคนทำถนนดีกว่าครับ มันกินหิน กินปูน กินยางมะตอยไปหมดแล้ว เลยเหลือมาทำทางหน่อยเดียว ถนนที่ใหนมันจะทน จริงม่ะ - ชนเป็นชน ไม่มีเบรก แหงหละครับ เบรกจนเบรกแตก ก็ไม่อยู่ เพราะน้ำหนักมันเยอะอ่ะ ฉะนั้นก็คงจะเคยอ่านข่าว ว่ารถบรรทุกชนไปตามระเบียบ อันนี้เห็นใจรถบรรทุกครับ รถเล็กอย่างเราๆ อย่าไปทำตัวใหญ่กับรถบรรทุกเลย ไม่คุ้มครับ จะมัวมาคิดว่า กรูมาถูกน่ะเว้ย มรึงต้องเบรก มีแต่ตายกับตาย ครับ ได้ไม่คุ้มเสีย อันนี้ไม่เล่ายาว คงรู้น่ะครับ ว่าผมหมายถึงอย่างไร ชนกันขึ้นมา รถเราเละ ยังไงเขาก็ไม่ซื้อใหม่ให้เรา อยู่แล้ว มีประกัน ก็ใช่ว่าจะซ่อมเสร็จภายใน วันสองวัน เลี่ยงได้เลี่ยงดีกว่า ขับรถ เราต้องมองไปข้างหน้าไกลๆ มองทั้งเหตุการณ์บนถนนที่เรากำลังวิ่งอยู่ไปข้างหน้า สักร้อยสองร้อยเมตร ให้ได้ตลอด อย่าวอกแวกมากนัก( รู้ว่าไม่วอกแวก ไม่ได้ ) มองอนาคตข้างหน้าด้วยว่า หากเป็นอะไรขึ้นมา เราและคนข้างหลังเรา จะเป็นอย่างไร
อาทิตย์นี้ ฝนกระหน่ำมาเกือบจะทั่วไทย ทำให้บางพื้นที่ น้ำท่วมกันอีกแล้ว ยังไม่ทันครบปี ก็ท่วมกันอีกครา ขับรถก็ต้องระมัดระวังกันให้มากครับ โชคดีครับ ปลอดภัย จากรถใหญ่ๆ กันทุกๆคน สวัสดี อย่าลืมแวะไปเยี่ยมชม เรื่องน่ารู้อื่นได้อีก ที่ Honda brio Amaze Community ที่มา : ecocarclub.net

วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

วอลเลย์บอล สาวไทย เฉีือนชนะ จีนสุดมันส์ 3-1


วอลเลย์บอลสาวไทย ชนะจีน สุดมันส์

ศรีราชา โฟกัส ขอแสดงความยินดีกับ ทีมวอลเลย์บอลสาวไทย สุดยอดมากๆ ทั้งทีมเลย

   ทีมวอลเลย์บอลสาวไทยระเบิดฟอร์มสุดยอดต้อนจีน แชมป์เก่า ขาดลอย 3-1 เซต ในศึกวอลเลย์บอลหญิงเอวีซี คัพ ครั้งที่ 3 รอบชิงชนะเลิศ ที่่คาซัคสถาน วันที่ 16 กันยายน

วอลเลย์บอล สาวไทย
2 ปีก่อนในการแข่งขันครั้งที่ 2 จีนเอาชนะไทย 3-0 เซตในรอบชิงชนะเลิศ ดังนั้นจึงถือเป็นการล้างตาของสาวไทย แม้ว่าในการเจอกันครั้งล่าสุดของวอลเลย์บอลหญิงเวิลด์ กรังด์ ปรีซ์ 2012 ไทยจะชนะจีน 3-2

   ทั้งสองทีมลงสนามด้วยฟอร์มอันยอดเยี่ยมเล่นกันมาทีมละ 5 นัดชนะรวด จีนไม่เสียเซตให้ทีมใดเลย ขณะที่ไทยเสียเซตเพียงแค่เซตเดียว

จีนตั้งเป้าหมายคว้าแชมป์สมัยที่สามติดต่อกัน แม้จะได้โควต้าเข้าร่วมการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงเวิลด์ กรังด์ ปรีซ์ 2013 แต่ก็ส่งผู้เล่นชุดใหญ่เข้าร่วมการแข่งขัน

   เซตแรกการเล่นสูสีคู่คี่ตั้งแต่ต้นเซตช่วงแรกไทยไล่ตีเสมอจีน พลิกนำ 10-8 จีนตามตีเสมอแบบไม่ยอมให้หนีห่าง ก่อนจะนำบ้าง 19-18 อย่างไรก็ตามไทยไม่เสียขวัญตีเสมอ 20-20 และไปจ่อเซตพอยท์ 24-26 จีนฮึดสุดๆเซฟเซตพอยท์ได้ถึง 5 ครั้งก่อนพลาดท่าให้ไทย 30-28

   เซตที่สองสาวไทยเป็นฝายนำให้จีนไล่ตีเสมอ 10-10 และเป็นฝ่ายนำไทยบ้าง 13-11,14-17,16-18 ไทยตึเสมอ 18-18,21-21 และได้สองเซตพอยท์ที่สกอร๋ 24-22 แต่เก็บชัยชนะไม่ได้โดนจีนตีเสมอ 24-24 แต่สาวไทยทำคะแนนนำ 25-24 พร้อมกับได้เซตพอยท์ครั้งที่ 3 แต่ปิดเซตไม่สำเร็จ จีนตีเสมอ 25-25 ก่อนทำอีกสองคะแนนชนะไปอย่างตื่นเต้นเร้าใจ 27-25 ตีเสมอเป็น 1-1 เซต

   เซตที่สามไทยเป็นฝ่ายนำให้จีนไล่ตีเสมอตลอด 7-7,11-11 แต่ไม่เคยปล่อยให้จีนเป็นฝ่ายนำเลย อาศัยการเสิร์ฟสั้นยาว หนักเบา ทำเอาจีนหัวปั่นทำคะแนนนำห่าง 19-12,23-19และชนะไป 25-21 นำ 2-1 เซต ต้องการอีกเซตเดียวจะคว้าแชมป์

   เซตที่สี่ไทยยังเครื่องร้อนไม่หยุดออกนำจีน 2-0,7-3 ทำให้จีนต้องขอเวลานอก แต่ก็ไม่เป็นผลสาวไทยไล่ยำจีนอยู่ฝ่ายเดียวทำคะแนนนำห่าง9-5,13-9,16-9,19-13 อย่างไรก็ตามจึนกัดฟันสู้ไล่มาเป็น 19-21 สาวไทยไม่ตระหนกตกใจยังเล่นด้วยฟอร์มยอดเยี่ยมทำสามคะแนนไปจ่อแชมเปี้ยนชิพพอยท์ 24-20 ก่อนวิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์ จะอัดจังหวะสองให้ไทยชนะ 25-20 คว้าแชมป์ไปครองเป็นครั้งแร


ชัยชนะดังกล่าวถือเป็นการถอนแค้นที่ครั้งที่แล้วสาวไทยปราชัยจีนได้อย่างสะใจและยังเป็นตอกย้ำชัยชนะครั้งล่าสุดที่ไทยเอาชนะจีน 3-2 ในวอลเลย์บอลเวิลด์ กรังด์ ปรีซ์ 2012 รอบชิงชนะเลิศอีกด้วย

วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2555

ไฟหรี่ ไฟหน้า เวลาขับรถ อย่าลืมใช้ เพื่อความปลอดภัยของคุณเอง

เปิดไฟหรี่ หรือ ไฟหน้ารถ กันเถอะ เมื่อเริ่มมืด ฟ้าครึ้ม รุ่งสาง

   การขับรถบนท้องถนน ได้พบเจอกับหลากหลายปัญหาที่เกี่ยวเนื่องจากผู้ใช้รถใช้ถนนด้วยกันเอง คิดผิดๆในเรื่องการใช้รถใช้ถนน อย่างเรื่องการเปิดไฟหรี่ หรือไฟหน้ารถ


อากาศอย่างงี้ เปิดไฟหรี่ ไฟหน้า กันเถอะครับ


รถรุ่นใหม่ๆ อาจจะผลิตมาให้อำนวยความสะดวกให้กับผู้ขับผู้ใช้รถคันนั้นๆ จนทำให้ ผู้ใช้รถลืมคำนึงถึง เพื่อนร่วมถนนว่าเขาจะได้รับผลอย่างไรจากการได้รับความสะดวกสบายของตัวเองในรถคันใหม่
หรือ ความเข้าใจผิดของผู้ใช้รถอีกมากที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ในการใช้งานรถยนต์ จนเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ จากความเข้าใจผิด และเห็นแก่ตัวก็ว่าได้

เรื่องหนึ่งที่ถูกละเลย ไม่ใส่ใจกันค่อนข้างมาก คือ การเปิดไฟหรี่ ของรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นตอนพลบค่ำ ฟ้าสางใหม่ๆ มีฝนฟ้าคะนองมืดครึ้ม ที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้ก็เพราะว่า หลายๆคนหลายๆคัน มักไม่ยอมเปิดไฟหรี่ กันเสียเลย อาจจะเพราะคิดว่า เรามองเห็นทางแล้วไม่ต้องเปิดหรอก ลืมเปิดไฟหรี่ไฟหน้า เพราะไฟหน้าปัดในรถยนต์สว่างเองแล้วหรือเรืองแสงเอง ทำให้ตัวเรามองเห็นแล้ว หรือแม้แต่ไม่เปิดเพราะกลัวแบตหมดไฟ

หลายคนจะรู้ไหมว่า ถ้าเราไม่เปิดไฟหรี่ เมื่อถึงเวลาที่ควรเปิด ผลจะเป็นอย่างไร
เคยสังเกตุ ไหมว่าถ้าอากาศครึ้มๆ ฟ้าขมุกขมัว หรือตอนฟ้าสาง เรามองเห็นรถคันอื่นๆได้ชัดเจนขนาดใหน
เคยไหม ขับรถกลางคืนมาทั้งคืนจนรุ่งสาง สายตาเราเป็นอย่างไรกับสิ่งรอบข้าง


เปรียบเทียบดูน่ะว่า เปิดกับไม่เปิด

สาเหตุที่มาบอกว่า ควรเปิดไฟหรี่ หรือ ไฟหน้า เมื่อถึงเวลาควรจะเปิด ก็เพราะว่า บนถนนมีคนหลากหลาย สายตาของบางคนก็ไม่ได้ดีเท่าๆกับอีกบางคน หากอากาศมืดๆ มัวๆ เขาจะมองไม่เห็นรถคันที่กำลังสวนมา อยู่ข้างหน้า หรือ กำลังออกจากซอย กำลังกลับรถ หากปราศจากไฟหรี่ แดงๆเรื่อๆ ที่มันแยงสายตา มากกว่าบั้นท้ายรถอันงดงามแต่ไม่ได้เปิดไฟหรี่ น่ะครับ ดังนั้นหากคิดถึงความปลอดภัย ลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุลง ก็จงช่วยกันเปิดไฟหรี่ซ๋ะเถอะครับ

รถบางคัน คนขับก็ขับมาทั้งคืน ดังนั้นสายตาของเขาจะยังปรับตัวไม่ได้ ฉะนั้นตอนเช้าๆ ก็ควรจะเปิดไฟหรี่ไว้บ้าง ไม่เสียหลายหรอกครับ อย่ามัวแต่คิดว่า เฮ้ยสว่างแล้ว มองเห็นถนนแล้ว ไม่ต้องเปิดไฟหรอก หรือ อย่าไปกลัวคนอื่นจะว่าหากเราจะเปิดไฟหรี่ทิ้งไว้เมื่อขับอยู่บนถนน


อย่างนี้ คิดว่าควรทำแบบใหนครับ

ผมเคยขับรถ บนถนนที่มีสองเลน สวนกันไปมาทั้งเวลาพลบค่ำ และ เช้ามืด บางครั้งแซงขึ้นไปแล้วจึงจะมองเห็นรถสวนมาเพราะเขาไม่ได้เปิดไฟหรี่ แต่ถ้ามีไฟหรี่ เราก็มองเห็นแต่ไกลอยู่แล้ว

ลองนำไปปฏิบัติกันดูน่ะครับ อย่าคิดเพียงว่าเราเห็นแล้ว อย่าลืมว่าบนถนน มีอีกหลายคนเขาใช้ทางร่วมกับเรา เราเปิดไฟไว้ เพื่อให้คนอื่นเห็นเราง่ายๆ ดีกว่าไปคิดว่า เดี๋ยวไฟแบตจะหมดเร็ว อายเขาเปิดทำไมสว่างแล้ว อะไรทำนองนี้
ชีวิตเรา ทรัพย์สินของเรา เราหาทางป้องกัน ลดโอกาสการสูญเสีย ด้วยตัวเราเองด้วย จะดีมากที่สุด


บทความนี้ เขียนไว้ที่ Eco car Club dot net

อย่าลืมแวะไปเยี่ยมชม เรื่องน่ารู้อื่นได้อีก ที่ Honda brio Amaze Community

วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

แอร์รถยนต์ ตู้แอร์รั่ว นำมาแชร์ให้นักอ่านได้พิจารณากัน


บทความนี้ ผมเขียนไว้ที่เว็บ  อีโคคาร์ คลับ ดอทเน็ท ด้วย แวะไปชมกันได้น่ะครับ

   วันนี้ได้ไปทำ แอร์รถยนต์ ของตัวเอง หลังจากทนนั่งขับรถที่แอร์ไม่เย็นมาอาทิตย์กว่าๆ ดีว่าอากาศไม่ค่อยร้อนเท่าไรเลยพอทนได้ แต่ถึงอย่างไรอากาศเมืองไทย ไว้ใจไม่ได้ซ่ะด้วย เกิดฝนตกมาแล้วกำลังขับรถ คงลำบากมากแน่ๆ เพราะกระจกหน้ารถจะมีฝ้ามาเกาะ จนทำให้เรามองไม่เห็น รถที่ร่วมทางกัน จนเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา มันจะไม่คุ้มกัน

  เกริ่นมาก็พอสมควรแล้ว เข้าเรื่องกันหน่อยดีกว่า ก่อนจะซ่อมวันนี้ ก็ได้ไปเติม น้ำยาแอร์ มาแล้วรอบหนึ่ง สักสามวันก่อน  ตอนเข้าร้านแอร์ช่างก็แนะนำแล้วว่า รถเราไม่เคยทำอะไรเกี่ยวกับแอร์มาเลย ดังนั้นสาเหตุของการไม่เย็นนี้ น่าจะมาจาก 2 สาเหตุ คือ
1. น้ำยาหายไปเองจากการใช้งานมาระยะเวลานาน ถ้าสาเหตุจากอาการนี้ ก็เพียงเติมน้ำยาแอร์เข้าไปใหม่ ก็จะใช้งานได้เหมือนเดิมแล้ว
2. น้ำยาหายไป จากการรั่วของระบบแอร์ อันนี้ต้องเช็คต้องตรวจกันนานหน่อย ว่ารั่วจากตรงใหน ทำอะไรได้บ้างก็ว่ากันอีกที

  พอดีว่าต้องใช้รถตลอด ไม่สะดวกให้ช่างตรวจหารอยรั่ว อีกอย่างก็นึกในใจว่า น้ำยาแอร์คงหมดไปเองจากการใช้งานมั้ง 555 แอบหวังน่ะ เลยตัดสินใจให้ช่างเติมน้ำยาแอร์อย่างเดียว ดูอาการด้วย รีบใช้รถด้วย
  หลังจากเติม ก็เย็นดีแต่ไม่ฉ่ำเหมือนก่อนซ่ะแล้ว วันรุ่งขึ้นเปิดประตูรถเข้ามา อะโหกลิ่นอะไรเนี้ยะ ฉุนๆด้วย ดีว่าแง้มกระจกไว้หน่อยๆ กลิ่นก็เลยไม่ค่อยมากเท่าไร แต่วันนี้รถเริ่มไม่ค่อยเย็นอีกแล้ว แต่ยังพอมีเย็นบ้างแต่น้อยกว่าเมื่อวานที่เติมน้ำยามาใหม่ ก็ทนใช้อีก เพราะทำอะไรไม่ได้มาก

  พอวันอาทิตย์ ก็เลยได้โอกาส เอารถเข้าไปทำแอร์ ก็อย่างที่คาดและใจเสียๆไว้ก่อนแล้วหลังจาก เติมน้ำยาแอร์ แล้วใช้ได้ไม่กี่วัน แอร์ก็ไม่เย็นอีก คือตู้แอร์รั่ว ช่างเขาจะมองก่อนเป็นอันดับแรกคือตู้แอร์รั่วไหม คงเพราะว่ามันต้องมีกลิ่น และ ได้เงินมากกว่า อิอิ
  แต่จริงๆแล้วก็ถามช่างว่า จุดอื่นจะรั่วหรือเปล่า ช่างตอบว่า จุดอื่นที่จะรั่วหนะ มันสังเกตุง่ายเช่นถ้าท่อที่เดินระบบแอร์มันรั่วส่วนมากก็จะรั่วตรงจุดเชื่อมต่อกัน ระหว่างอุปกรณ์ และรถของผมเขาดูแล้วก็ไม่เห็นมีรอยรั่วน่ะ เพระถ้ารั่วตรงจุดใหน มันก็จะมีคราบน้ำมันอยู่ให้พอสังเกตุได้

  การเช็คว่าตู้รั่วจริงไหม เขาจะใช้ลมเป่าเข้าไปทางปากท่อของตู้แอร์ และก็วางตู้แอร์ไว้ในกาละมังที่มีน้ำ ท่วมตู้แอร์มิดเลย จากการทดสอบตู้แอร์ของรถเรา มันรั่วจริง คือมีฟองน้ำผุดขึ้นมาปุ๋งๆๆ เลย จบการทดสอบ
  ก็เปลี่ยนกันตามระเบียบครับ


  ทีนี้มาดูความรู้ที่ได้จากการไปเปลี่ยนตู้แอร์ ของรถตัวเองมา นำมาฝากเพื่อนๆที่หลงเข้ามาอ่านเจอ

ข้อควรปฏิบัต และ ระวังในการใช้รถยนต์ เพื่อถนอมตู้แอร์
  1. พยายามรักษาความสะอาดในรถ โดยเฉพาะ ถาดรองพื้นของแต่ละที่นั่งในรถ หมั่นเอาออกไปเคาะฝุ่นผงออกบ่อยๆ อย่าให้มีตกค้าง และควรใช้ถาดรองพื้่นรถแบบมีขอบ เพื่อที่เวลามีฝุ่นผง เกาะติดมากับรองเท้าของเราหรือของผู้โดยสาร ฝุ่นผงจะได้หลุดและกองอยู่ในบริเวณถาดรองพื้นที่เราวางไว้ และสะดวกในการถอดถาดรองออกไปเคาะฝุ่นด้วย แต่ถ้ามันไม่มีขอบสูงขึ้นมานิด ก็หมั่นเอาออกไปเคาะบ่อยๆ ทุกวันได้ยิ่งดี ไม่งั้นฝุ่นผงมันจะกระเด็นออกจากถาดวางไปหมดซ่ะก่อน
    เพราะฝุ่นผงที่ว่า มันจะโดนดูดเข้าไปในตู้แอร์ ตอนที่แอร์ทำงานเพราะการทำงานของตู้แอร์คือดูดอากาศภายนอกตู้แอร์เข้าไปให้ผ่านช่องเล็กๆของตู้แอร์และกลายเป็นลมเย็นออกมาทางช่องแอร์ กลายเป็นอากาศอันเย็นฉ่ำ และฝุ่นผงที่ถูกดูดเข้าไปนี้ มันก็จะสะสมตัวเกาะติดอยู่ภายในช่องเล็กๆของตู้แอร์ และ เกาะกันเป็นกลุ่มก้อนจนบดบัง ช่องเล็กๆของตู้แอร์นั้นๆ ทำให้ลมผ่านตู้แอร์ได้ไม่ดี หรือได้น้อย ความเย็นที่จะได้ก็จะนอ้ยลงด้วย

  2. อย่าใช้น้ำหอมในรถ ที่เป็นแบบเจล แบบก้อน เพราะเมื่อน้ำหอมแบบดังกล่าวระเหยออกมา แล้วโดนดูดเข้าไปในตู้แอร์ตามการทำงานปกติของตู้แอร์ น้ำหอมที่ระเหยไปนั้นพอเจอความเย็นของตู้แอร์ มันก็จะกลายเป็นก้อนหรือเจล เหมือนเดิม เกาะติดสะสมกันอยู่ตามครีบ ช่องเล็กๆของตู้แอร์จนตัน ในที่สุด
   และที่สำคัญการที่น้ำหอมกลายเป็นเจอหรือเรียกง่ายๆว่าเมือกเกาะกันในตู้แอร์แล้ว มันเป็นตัวเร่งทำให้เกิดการกัดกร่อนของตู้แอร์ให้เร็วขึ้นด้วย ดังนั้นระยะเวลาของการใช้งานตู้แอร์ก็สั้นลงไปอีก

  สองข้อนี้สำคัญที่สุด ในการใช้รถและใช้แอร์ในรถเพื่อป้องกันไม่ให้ ตู้แอร์ รั่วเร็วเกินไป ยังมีข้อปลีกย่อยอีกหลายข้อ เอาไว้วันหลังจะมา เพิ่มเติมให้อีกที

   วันนี้ทิ้งท้ายไว้ด้วย รูปของสิ่งที่อยู่ในตู้แอร์ ซึ่งเป็นภาษาบ้านๆที่เราๆ เรียกกัน ตัวที่รั่วจริงๆคือ evaporator ที่ลักษณะมันก็มีครีบมีท่อ เหมือนหม้อน้ำรถยนต์นั่นแหละ เพราะมันทำหน้าที่คล้ายๆกันคือ แลกเปลี่ยนอุณหภูมิ ที่ผ่านตัวมัน นั่นเอง



   รูปที่ให้ดูนั้น เป็นของใหม่ แต่ถ้า [b][u]evaporator[/u][/b] ที่ผ่านการใช้งานมาพอสมควรแล้วหละก็ มันจะมีฝุ่น เศษเส้นผม เมือกเหนียวๆ ที่เกิดจากการสะสมตัวของเจลน้ำหอมที่ใช้กันในรถยนต์ อย่างที่บอกไปแล้วว่า ถ้าเราใช้เครื่องหอมในรถ ประเภทที่เป็นก้อน เป็นเจล พอมันโดนดูดเข้ามาที่ตู้แอร์อันมี evaporator อยู่ด้วยนั้น มันจะกลายเป็นก้อน หรือ เจลเหมือนตอน ก่อนที่มันจะระเหยกลายเป็นกลิ่นให้เราดมในรถ นั่นเอง

   ทีนี้ถ้าในรถเราปล่อยให้ มีเศษฝุ่น เศษอะไรต่อมิอะไรค้างคาในรถมากๆแล้ว มันก็จะทยอยดูดเข้าไปสะสมอยู่กับ evaporator นานวันเข้าช่องโพรง ที่เขาทำไว้เพื่อให้ลมที่เป่าเข้าไป แล้วผ่าน evaporator เพื่อเอาความเย็นจากตัว evaporator ผ่านออกมาทางช่องแอร์เพื่อทำความเย็นในห้องโดยสาร มันก็จะตันเรื่อยๆ จนในที่สุด ลมก็จะผ่านไม่ได้ พอลมผ่านไม่ได้ ก็จะไม่มีความเย็นส่งออกมาจากช่องแอร์ ให้เราที่นั่งในรถ จึงได้บอกไว้ว่า หมั่นทำความสะอาดถาดรองพื้นในรถ และควรใช้แบบใด ดีกว่า

  มาดูรูป Evaporator ที่ถือว่าโชกโชน เหลือเกืน ชาวบ้านเรียกว่า แอร์ตัน


อีกรูป เพื่อความมั่นใจว่า ถ้าไม่ดูแลสิ่งแวดล้อมให้มันหละก็ เจอแบบนี้



ที่เห็นด้านบนนั้น คือเขาถอดออกมาจากตู้แอร์ แล้วน่ะ จริงๆมันจะสิงสถิตอยู่ คล้ายๆอย่างงี้ แล้วแต่รถว่ารุ่นใหน เค้าออกแบบมาไม่เหมือนกัน แต่หลักๆแล้วคือ ทำเป็นอุโมง เอาเจ้า Evaporator นี้กั้นอุโมงไว้ ปลายด้านหนึ่งของอุโมง มีพัดลมทำหน้าที่เป่าลม เพื่อให้ผ่านเจ้า Evaporator ไปออกอีกข้างของอุโมงค์ และต่อออกไปเป็นช่องแอร์หน้าคอนโซลรถนั่นแหละ

นี่รูปของตู้อุโมงที่ว่า มันจะแตกต่างกันแล้วแต่รถน่ะครับ


เอาหละ อันบนคือเขารื้อออกมาแล้ว
ทีนี้มาดูสภาพภายในรถที่ต้องรื้อเพื่อเอา เจ้าตู้แอร์ออกมา  แล้วแต่รถอีกแหละครับ ว่าจะรื้อยังไง





เห็นรูปแล้วเป็นอย่างไรครับ ยิ่งรถรุ่นใหม่ๆ ยิ่งรื้อยาก

ดังนั้น ป้องกันดีกว่าแก้ไข อย่าให้ ตู้แอร์ต้องตันในเวลา อันรวดเร็ว แล้วเราจะเศร้าที่ช่างแอร์ เขาต้องรื้อรถเราขนาดนี้ น่ะเออ



รถบางรุ่นโชคดีหน่อย เค้าออกแบบมาดี ก็รื้อแค่นี้